สามารถดาวโหลดเอกสารเพื่อเผยแพร่ได้ที่เอกสารที่แนบมา
นพ.สมพงษ์ บุญสืบชาติ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้มีการเฝ้าระวังโรคมือเท้าปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อในเด็กเล็กที่พบมากในช่วงฤดูฝน อากาศเย็นและชื้น โดยเฉพาะสถานรับเลี้ยงเด็กหรือศูนย์เด็กเล็ก รวมทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา หากมีเด็กป่วยอาจจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อติดกันได้ง่าย
โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัส พบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า ๕ ปีอาการของโรคมือเท้าปาก จะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย มีจุดหรือผื่นแดงอักเสบในปาก มักพบที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้มทำให้เจ็บปากไม่อยากทานอาหาร มักเกิดผื่นแดงซึ่งจะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆ สีแดงที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่อื่น เช่น ก้น หัวเข่า ซึ่งตุ่มนี้มักไม่คัน แต่เวลากดจะเจ็บ ต่อมาจะแตกออกเป็นหลุมตื้นๆ อาการจะดีขึ้นและแผลหายไปใน ๗ - ๑๐ วัน
การแพร่ติดต่อของโรคมือเท้าปาก ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับเชื้อเข้าสู่ปากโดยตรง ติดต่อง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย โดยเชื้ออาจติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพอง จากแผลหรืออาจเกิดจากการไอจามรดกัน ในระยะที่เด็กมีอาการทุเลาหรือหายป่วยแล้วประมาณ ๑ เดือน จะพบเชื้อในอุจจาระได้แต่การติดต่อในระยะนี้จะเกิดขึ้นได้น้อยกว่า
ตามปกติโรคมักไม่รุนแรงและไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่เชื้อไวรัสบางชนิดอาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ จึงควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมทานอาหารและน้ำดื่ม อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง อาจเกิดภาวะสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
โรคมือเท้าปากนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัย ผู้ปกครอง ครู หรือผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็ก ควรแนะนำและดูแลเด็กให้รักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลางและหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น
สำหรับโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือและส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ หากพบเด็กป่วยหรือสงสัยจะป่วยเป็นโรคมือเท้าปากในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อควบคุมป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย
ดังนั้น เพื่อป้องกันโรคดังกล่าว จึงอยากขอเตือนประชาชน รวมถึงครูหรือผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็ก ให้หมั่นสังเกตอาการของเด็กว่ามีอาการดังที่กล่าวหรือไม่ หากมีควรให้เด็กหยุดพักรักษาตัวที่บ้านประมาณ ๑ สัปดาห์หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ หากมีอาการรุนแรงต้องรีบพาไปโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้านทันที